โหวด
โหวด เป็นเครื่องดนตรีไทยภาคอีสานประเภทเครื่องเป่า มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ทำจากไม้กู่แคนซึ่งเป็นไม้ซางชนิดเดียวกับที่ใช้ทำแคน มีลักษณะคล้ายกับเครื่องดนตรีกรีกโบราณ ที่เรียกว่า "Pan Pipe"
โหวดเป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดร้อยเอ็ด
ผู้คิดค้นพัฒนาให้โหวดมีลักษณะแบบที่เห็นในปัจจุบันคือ นายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
โหวด เครื่องดนตรีขนาดเล็ก กะทัดรัด ราคาย่อมเยา รูปทรงสวยงาม กลายเป็นเครื่องดนตรีแห่งวงการดนตรีอีสานจริงๆ เมื่อไม่กี่สิบปีมานี่เอง โดยผู้คิดค้นพัฒนาให้เป็นเครื่องดนตรี แบบที่เห็นในปัจจุบัน คืออาจารย์ทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ (อาจารย์ประจำวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด) ซึ่งได้คิดค้นและนำออกแสดงเมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๑
โหวด ทำจากไม้กู่แคน ซึ่งเป็นปลายที่เหลือจากการทำแคน แต่มีรูปแบบการกำเนิดเสียง ที่แตกต่างจากแคน โดยแคนมีลิ้นเป็นตัวให้กำเนิดเสียง แต่โหวดไม่มีลิ้น ให้กำเนิดเสียงโดยการไหลของลม ระดับเสียง สูง-ต่ำ ขึ้นอยู่กับ ขนาดความโต และความยาวของลูกโหวด หรือ ขึ้นอยู่กับปริมาตรความจุลมของลูกโหวดนั่นเอง หากมีความจุมาก เสียงจะต่ำ หากมีความจุน้อย เสียงจะสูง
ลูกโหวด ด้านหัวของแต่ละลูก เสี้ยมปลายให้แหลมเป็นปากปลาฉลาม และนำแต่ละลูก มาติดเข้ากับแกนโดยรอบ เรียงลำดับจากยาวไปหาสั้น
โหวดมาตรฐาน มี ๑๓ ลูก ๕ โน้ต ตามโน้ตเพลงพื้นบ้านอีสาน คือ มี ซอล ลา โด เร สามารถบรรเลงเพลงลายใหญ่ และลายสุดสะแนนได้ หรือหากต้องการใช้เล่นร่วมกับลายน้อย และลายโป้ซ้ายได้ ก็สามารถปรับคีย์ลูกโหวดให้สูงขึ้น ก็จะได้โน้ต ๕ ตัวสำหรับคีย์ลายน้อย คือ ลา โด เร ฟา ซอล
ต่อมา เพื่อให้โหวดหนึ่งตัว เล่นได้หลายลายหรือหลายสเกลเสียงมากขึ้น จึงเพิ่มเสียง ฟา เข้าไปเป็น ๖ โน้ต ซึ่ง โหวดที่มี ๖ โน้ต จะสามารถบรรเลงลายใหญ่ ลายน้อย ลายสุดสะแนน และลายโป้ซ้าย ได้ แต่บางคน อาจสั่งพิเศษ ให้ช่างโหวดทำให้ครบทั้ง ๗ โน้ต เพื่อให้บรรเลงเพลงลูกทุ่งได้เต็มสเกล แต่โหวดที่มี ๗ โน้ต อาจเล่นยากกว่าโหวดปกติ
โหวด จำแนกประเภทตามลักษณะรูปทรงได้ ดังนี้
โหวดหาง (หรือโหวดแกว่ง)
โหวดกลม (ทั่วไป)
โหวดแผง
โหวดหาง เครื่องเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน
โหวด สมัยก่อน เป็นอุปกรณ์เครื่องเล่นเพื่อความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง เท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นเครื่องดนตรี เพราะยังไม่มีการนำมาบรรเลงเป็นเพลงจริงๆ โดยโหวดในสมัยก่อน ประกอบด้วย แกนกลาง ซึ่งทำจากไม้ไผ่ลำโตขนาดกลาง และลูกโหวด ซึ่งทำจากลำไผ่เล็กมีรู หากลูกโหวดมีผิวหนา ก็ใช้มีดเหลาเปลือกออกให้บางลง นำลูกโหวดมาติดรอบแกนด้วยขี้สูด หรือหากไม่มีขี้สูดก็ใช้ยางมูก (มูก เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง มียางเหนียว) เป็นตัวประสาน ซึ่งโหวดนี้ สามารถถือเป่าเล่นเพื่อความเพลิดเพลินได้
นอกจากนั้น สามารถนำโหวดนี้ไปเล่นในลักษณะอื่นได้ โดยนำไม้ไผ่ลำเล็ก ยาวประมาณ 1 วา หรือสมดุลกับตัวโหวด มามัดติดเข้ากับเข้ากับตัวโหวด ทำเป็นหางโหวด เรียกโหวดนี้ว่า โหวดหาง
การเล่นโหวดหาง คือ ใช้เชือกทำเป็นบ่วง สองอัน คล้องมัดกับตัวโหวด ให้สมดุลย์ จากนั้น จับหางเชือก แกว่งเวียนรอบศีรษะ ในทิศทางที่หัวโหวดต้านลม จะเกิดเสียงดัง ฟังสนุกสนาน หากต้องการขว้างแข่งกัน ก็ปล่อยหางเชือก ให้โหวดลอยไปในอากาศ ซึ่งก็จะเกิดเสียงดัง เช่นกัน
ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว หรือหน้าหนาว นิยมทำโหวดหางมาขว้างแข่งกัน โดยใครขว้างได้ไกลกว่า เป็นผู้ชนะ ซึ่งโหวดที่นำมาเล่น ต้องมีเสียงดังด้วย หากไม่ดัง แม้จะไปไกลกว่า ก็ไม่ถือว่าชนะ
โหวดหาง เอาเพียงแค่มีเสียงดัง ซึ่งก็มีทั้งเสียงทุ้ม และเสียงแหลม แต่ยังไม่มีการเรียงเป็นโน้ต หรือไม่มีการปรับระดับโทนเสียงให้เล่นเป็นเพลงได้ แม้จะนำมาเป่าเพื่อความเพลิดเพลินได้ แต่ก็ยังไม่จัดว่าเป็นเครื่องดนตรี
โหวดที่เป็นเครื่องดนตรี ได้รับการปรับปรุงพัฒนา โดยนายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ โดยอาศัยหลักการของโหวดหาง แต่จัดรูปแบบโน้ตโดยหลักการทางดนตรี เทียบเสียงกับแคน ซึ่งในสมัยแรก ใช้เพียง 5 โน้ต ตามลักษณะลายเพลงพื้นบ้านอีสาน
โหวดแผง
โหวดแผง คือโหวดที่เป็นเครื่องดนตรี ใช้หลักการเดียวกันกับโหวดกลม ผสมผสานกับรูปแบบของเมาท์ออแกน จนออกมาเป็น โหวดแผง ซึ่งโหวดแผง จะติดลูกโหวดเรียงกันเป็นแถวเดียว ตามลำดับความยาว-สั้น
โหวด มีส่วนประกอบสำคัญ ดังนี้
ลูกโหวด
ลูกโหวด จากไม้ตระกูลไผ่ ชนิดเดียวกันกับที่ใช้ทำแคน ช่างแคนนิยมเรียกไว้ชนิดนี้ว่า ไม้กู่แคน โดยมากมักใช้ส่วนที่เหลือจากการทำลูกแคน มาตัดทำเป็นลูกโหวด
แกนโหวด
แกนโหวด เป็นส่วนสำหรับนำลูกโหวดมาติดเรียงเข้าด้วยกัน ตามลำดับโน้ต ทำจากลำไม้ไผ่ เหลาให้เหลือเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว และปาดเฉือนทำเป็นหางด้วย
หัวโหวด
หัวโหวดมีลักษณะสอบแหลม ปลายมน ใช้เพื่อให้เป่าลูกโหวดได้ง่าย ทำจากขี้สูด ผสมกับขี้ซี (ยางไม้ เช่น ต้นจิก ต้นแคน เป็นต้น) ปัจจุบัน อาจใช้วัสดุอย่างอื่น ทดแทน
โหวด มีขั้นตอนการทำคร่าวๆ ดังนี้
- คัดเลือกไม้กู่แคน เรียงลำดับจากใหญ่ไปหาเล็ก (เลือกขนาดที่เหมาะสม)
- ลูกที่ใหญ่ที่สุดตัดให้ยาวที่สุด ประมาณ 25 ซ.ม. ลูกถัดไป ให้สั้นลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ เพื่อความสวยงาม
- เฉือนด้านหัวแต่ละลูกเป็นรูปปากฉลาม เฉียงประมาณ 45 องศา
- นำขี้สูดปั้นเป็นก้อนพอใส่ในรูลูกโหวดได้ ใส่ลงไปในรู และใช้ไม้จูนเสียง แหย่ปรับให้ขี้สูดอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม... ขณะที่จูนเสียง ก็ลองเป่าดู เทียบเสียงดูจนได้เสียงที่ถูกต้อง... ปรับจูนเสียงจนครบทุกลูก (ขั้นตอนการปรับจูนเสียง ระวังอย่าให้ตรงปากฉลามเสียหาย)
- เตรียมแกนโหวด โดยนำลำไม้ไผ่มาเหลา ให้ได้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่เหมาะสม สำหรับติดลูกโหวดรอบแกน ให้ได้ทั้งหมดที่เตรียมไว้ (13-15ลูก) ด้านหัวของแกน เป็นปล้องไม้ไผ่ที่ไม่ทะลุปล้อง ด้านท้ายปาดให้มีลักษณะเวียน เหลาทำเป็นหางโหวด โดยส่วนหางโหวดต้องยาวกว่าลูกโหวดที่ยาวที่สุด
- นำลูกโหวดมาติดเข้ากับแกน ด้วยขี้สูด โดยติดเริ่มจากลูกที่ยาวที่สุด เรียงลำดับไปเรื่อยๆ จนครบทุกลูก
- นำขี้สูดซึ่งผสมขี้ซีแล้ว มาติดตกแต่งหัวโหวด ให้มีลักษณะสอบแหลม ปลายมน ตกแต่งขี้สูดตรงปากฉลามลูกโหวด ให้ได้องศาที่รับกัน เพื่อให้เป่าดังง่าย.... ทดสอบเป่าเป็นเพลง หากเสียงเพี้ยน ให้ปรับจูนเสียงใหม่ ตกแต่งขอบปากใหม่ จนเสร็จเรียบร้อย
- หากต้องการให้ลูกโหวดติดกับแกนอย่างมั่นคงถาวร ให้หยอดกาวติดซ้ำเข้าไป
- นำแผ่นพลาสติกอ่อนบาง มาแปะติดที่หัวโหวด เพื่อป้องกันขี้สูดติดคางเวลาเป่า
การเรียงลูกโหวดมาตรฐาน 13 ลูก
การเรียงโหวดแบบเพิ่มเสียงฟาเข้าไป
การเลือกซื้อโหวด ควรคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้
- รูปร่าง สีสันสวยงาม ถูกใจผู้ใช้
- ลูกโหวดที่ดี ไม่ควรหนามาก เพราะหากหนาเกินไป เสียงจะไม่ใส (ลูกโหวดที่หนา เสียงไม่ใส แต่แตกยาก ลูกโหวดที่บาง เสียงจะใส ไพเราะ แต่แตกง่าย)
- ปากลูกโหวดแต่ละลูก เฉือนเป็นปากฉลามในระดับองศาเดียวกัน และผิวขอบปากต้องเรียบคม
- หัวโหวด โค้งมน ได้องศาที่รับกับดีกับองศาของปากโหวด
- เป่าง่าย ดังดีทุกลูก (เป็นผลมาจากปากลูกโหวดและหัวโหวด)
- เสียงไม่เพี้ยนในตัวมันเอง คือเป่าเป็นเพลงแล้ว ไม่มีโน้ตที่เสียงเพี้ยน
- หากต้องการนำไปบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น เช่นแคน โปงลาง เป็นต้น คีย์เสียงต้องตรงกัน ไม่ผิดเพี้ยน
โหวด เป็นเครื่องดนตรีที่บอบบาง แตกเสียหายได้ง่าย ดังนั้น จึงควรดูแลรักษาอย่างทะนุถนอม โดยมีข้อควรระวังดังนี้
- เนื่องจากโหวดในปัจจุบัน ยังใช้ขี้สูดอยู่ ดังนั้น ไม่ควรเก็บ หรือวางโหวดไว้ในที่อุณหภูมิสูงเกิน 30 องศา เพราะขี้สูดอาจละลาย ทำให้โหวดเสียงเพี้ยนได้
- การเก็บโหวด ควรเก็บในที่อุณหภูมิปกติ ในแนวตั้ง เช่น แขวนเอาด้านหางขึ้น เอาด้านหัวลง (หากวางนอนไว้ อาจจะทำให้ขี้สูดที่อุดรูอยู่เยิ้มเอียง ส่งผลให้เสียงเพี้ยนได้ แต่หากวางในแนวตั้ง ขี้สูดจะเยิ้มยาก หรือแม้จะเยิ้ม ก็ไม่ไหลเปลี่ยนตำแหน่ง)
- เพื่อป้องกันแมลง และกันแตก ควรเก็บโหวดไว้ในกระบอกกลม มีฝาปิด และวางหรือแขวนไว้ในแนวตั้ง
- หากลูกโหวดแตกร้าว ให้ใช้กาว (เช่นกาวตราช้าง) ติด หรือหากแตกเสียหายมาก ให้เปลี่ยนลูกโหวดใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น